คือสิ่งนั้นมาย่ำยี่หัวใจเราได้ บังคับใช้เราได้ ให้ไปหาอะไรก็ ได้ ให้ไปฆ่าใครก็ได้ ให้ไปกระโดดน้ำตายเองก็ได้ นี่เรียกว่าไม่มองเห็นสิ่งนั้นๆ ตามที่เป็นจริงๆแล้วก็เข้าไปยึดถือ เข้าไปยึดถือ เข้าไปยึดแล้วจิตมันก็ไม่ว่าง มีคนโง่เขลาที่เป็นครูบาอาจารย์ก็มี พูดว่าจิตว่างไม่ได้ จิตต้องคิดนึกเสมอ ถูกแล้ว จะคิดนึกอย่างไม่ยึดถือนั่นแหละ คือว่าง คิดนึกอย่างไม่ยึดถืออะไรมาเป็นของกูมาเป็นตัวกูนั่นคือว่าง ถูกแล้วจิตมันต้องคิดนึก ต้องรับอารมณ์ ต้องคิดนึก แต่อย่าโง่ไปยึดถือมันก็เรียกว่าว่าง จิตไม่ยึดถือในสิ่งใดจิตก็ว่างจากสิ่งเหล่านั้น เหมือนกับมือของเรานี่ ถ้าไม่ไปจับถือสิ่งใดก็เป็นมือที่ว่างไม่ไปติดอยู่กับสิ่งใด เนี่ยมือมันว่าง
ที่เรามีจิตที่มองเห็นสิ่งทั้งปวงว่ามันเป็นอย่างไรตามที่เป็นจริงแล้ว ไม่ไปยึดถือคือไม่หมายมั่นเป็นตัวกูของกู แม้แต้ชีวิตร่างกายนี้ก็มีได้ ใช้มันได้โดยไม่ต้องไปยึดถือว่าเป็นตัวกูของกู การงานก็ทำได้ ทั้งที่ไม่ต้องยึดถือเป็นตัวกูของกูเพราะมันทำด้วยสติปัญญาที่มีอยู่ในนามรูป ที่ควบคุมอยู่ด้วยสติปัญญาอันถูกต้อง ไม่ใช่ความโง่ จิตก็ควบคุมนามรูปนี้ให้ทำอะไรไปได้ตามหน้าที่ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าจิตมันโง่ จิตมันไม่ว่าง เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยอวิชชา มันก็ให้ร่างกายนี้ นามรูปนี้ทำอะไรไปด้วยความโง่ ก็มีความทุกข์ ไม่ว่างกิเลส ไม่ว่างจากความทุกข์ จิตนั้นไม่ว่างจากกิเลส จิตนั้นไม่ว่างจากความทุกข์
เราเรียกว่าจิตไม่ว่าง ไม่ว่างคืออยู่กับกิเลส อยู่กับความทุกข์ ถ้าจิตว่างคือจิตที่เป็นอิสระ เต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะเต็มอยู่ด้วยสติปัญญา ประพฤติกระทำถูกต้องหมดทั้งกาย ทางวาจา และทางจิตเอง คือจิตว่างจึงนำพอชีวิตไปในทางที่สงบเย็น ถ้าเรามีชีวิตด้วยจิตว่าง เราก็มีชีวิตที่เย็น
Table Tennis
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น